|
เป็นประธานเปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" กรณีที่ คชก. ได้
มีความเห็นในทางปฏิบัติเกี่ยวกับการยื่นขออนุญาตทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ)เพิ่มเติมคือ
ก่อนก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียม จะต้องสอบถามชุมชนรอบข้างด้วยว่า
เห็นด้วยหรือไม่ที่จะมีตึกสูงเกิดขึ้นบริเวณข้างๆ หรือ กลางชุมชน
ซึ่งคชก.เกรงว่าหากปล่อยให้มีการก่อสร้าง จะก่อให้เกิดมลพิษทางทัศนวิสัย หรือ
การก่อสร้างอาคารที่บดบังทัศนียภาพ อาคารเก่าที่เกิดก่อน
"หากโครงการยื่นเข้ามา
และเกรงว่า น่าจะก่อความเดือดร้อนรำคาญกับชุมชนรอบข้าง
หรือชุมชนมีการร้องเรียนเข้ามา
คชก.จะให้เจ้าของโครงการกลับไปแก้ไขปรับแบบให้สอดคล้องกับพื้นที่เพื่อลดผลกระทบ
ซึ่งข้อเสนอนี้เกิดจากเมื่อไม่นานมานี้ ผู้ทรงคุณวุฒิ
หนึ่งในคชก.ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องภูมิสถาปัตย์
ได้ท้วงติงโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ดังย่านฝั่งธนบุรีรายหนึ่งที่ยื่นขออีไอเอว่า
หากมีการก่อสร้างเกิดขึ้น เกรงว่าจะบังทัศนียภาพอาคารเก่า
ขณะเดียวกันได้มีการฟ้องร้องกันระหว่างเจ้าของโครงการ ส่งผลให้ คชก.
ต้องตีเรื่องกลับให้แก้ไขแบบใหม่ พร้อมทั้งให้แจงรายละเอียดว่า
จะทำอย่างไรไม่ให้กระทบต่ออาคารข้างเคียง เพราะมีการร้องเรียนว่า
โครงการใหม่สร้างเบียดชิดอาคารเก่าที่สร้างอยู่เดิม โดยแนวทางแก้ไขแบบเช่น
ให้เบี่ยงบีบตัวอาคารให้แคบลง
หรือปรับถอยร่นหรือระยะเว้นว่างของอาคารออกไปอีกระยะหนึ่ง "
นางนันทิยา
กล่าวอีกว่า การพิจารณาโครงการคอนโดมิเนียม ที่ต้องทำอีไอเอ ที่ผ่านมา คชก.
ได้พิจารณาไปตามกรอบกฎหมาย คือ พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)
ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 ซึ่งส่วนใหญ่จะผ่านการพิจารณา
และตรวจสอบตามข้อเท็จจริง
โดยต้องยอมรับว่าปัจจุบันโครงการคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นมากตามความต้องการตลาด
เมื่อเห็นทำเลดีก็ซื้อที่ดินขึ้นโครงการทันที แต่ละโครงการ บางรายมีมากกว่า 1,000
หน่วย จริงอยู่ ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และ
ผังเมืองในพื้นที่อาจให้พัฒนา
แต่จะต้องคำนึงถึงชุมชนโดยรอบที่อยู่อาศัยมาก่อนด้วยว่า
ได้รับผลกระทบจากอาคารสูง-ใหญ่ที่เกิดขึ้นในภายหลังหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้
คชก.ได้ให้ความสำคัญมาก โดยเฉพาะการสร้างอาคารที่ก่อให้เกิดการบดบังทัศนียภาพ หรือ
ที่เรียกว่ามลพิษทางทัศนวิสัย เช่นตัวอย่างที่เกิดขึ้นที่ร้องเรียนกัน คือ
ตากผ้าไม่แห้ง เพราะคอนโดฯสร้างบังแสงแดด , บังทิศทางลม , เกิดเสียงรบกวน
,ขยะหรือสิ่งของหล่นใส่หลังคาบ้าน ,
ตึกขวางทางน้ำทำให้บริเวณนั้นเกิดน้ำท่วมเป็นต้น
"ปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องใหญ่
เพราะตึกสูงทุกวันนี้เกิดขึ้นมากจนทำลายสภาพแวดล้อมเสียหาย ดังนั้น จะต้องออกกติกา
อีไอเอ เพื่อปกป้องลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ดีมั่นใจว่า
ผู้ชำนาญการแต่ละฝ่ายพิจารณาอย่างเป็นธรรมไม่ขัดต่อกฎหมายหลักที่เกี่ยวข้อง"
ด้านนายอธิป
พีชานนท์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า กรณีที่
คชก.กำหนดหลักเกณฑ์อะไรขึ้นมาแปลกๆใหม่ๆ ควรแจ้งผู้ประกอบการทราบล่วงหน้า หรือ
หากเป็นไปได้
ควรไตร่ตรองก่อนเพราะจะส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการและผู้บริโภคต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น
ซึ่งผู้ประกอบการสามารถฟ้องศาลปกครองได้
เพราะแนวทางปฏิบัติใหม่ๆที่ออกมาล้วนแต่ใช้ดุลพินิจและขัดต่อกฎหมายแม่
อย่างกฎหมายควบคุมอาคาร กฎหมายผังเมือง ที่กำหนดโซนพัฒนาและขึ้นอาคารสูงได้
แต่เมื่อซื้อที่ดินเพื่อลงทุนพัฒนา คชก. กลับระบุว่าไม่สามารถพัฒนาได้ หรือ
พัฒนาได้ แต่ต้องจำกัดความสูง
เพราะข้ออ้างที่ว่าจะต้องถามคนในพื้นที่รอบข้างก่อนว่าสร้างได้หรือไม่
เพื่อไม่ให้เกิดมลพิษทางวิสัยทัศน์
"แน่นอนว่า
ผู้ประกอบการจะเป็นฝ่ายชนะคดี
เพราะศาลจะพิจารณาจากข้อเท็จจริงตามตัวบทกฎหมายแม่เป็นหลักแต่ที่ผ่านมาผู้ประกอบการทุกรายไม่ต้องการเสียเวลา
เพราะกฎอีไอเอออกมาไม่เกิน 2-4 เดือนก็ยกเลิกเพราะคณะกรรมการบางคนหมดวาระ
หากโครงการขออนุญาตช่วงนั้นก็ต้องแบกภาระไป ซึ่งไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน เช่น
บังคับให้ ปลูกต้นไม้ 1ต้นต่อแอร์ 1 ตัน ซึ่งบังคับใช้ได้ 4 เดือนก็ยกเลิกไป
หรือคอนโดฯทุกหลังต้องเว้นระยะถอยร่น(พื้นที่เว้นว่างรอบอาคาร) 6 เมตร
แม้จะเป็นอาคารไม่ถึง10,000 ตารางเมตร สูงไม่เกิน 23 เมตรก็ตาม
รวมทั้งติดตั้งระบบป้องกันอัคคีภัยเทียบเท่าอาคารสูงอาคารขนาดใหญ่
ทั้งที่กฎหมายควบคุมอาคาร กำหนดระยะถอยร่นอาคารทั่วไปเพียง 3เมตร
แต่เรื่องนี้ก็บังคับใช้ไม่นานก็ยกเลิกไป ซึ่งช่วงนั้นมีกว่า
10โครงการที่ต้องปฏิบัติตามขณะที่ที่ดินในเมืองค่อนข้างแพง หรืออีกกรณีที่
บังคับให้ผู้ประกอบการต้องออกแบบที่ตั้งแคมป์คนงานก่อนว่าอยู่บริเวณไหนทั้งที่โครงการยังไม่ก่อสร้าง
และไม่ได้ผู้รับเหมา การบังคับให้ออกแบบบ่อหน่วงน้ำ(บ่อพักน้ำเสีย)
ก่อนมีการก่อสร้างว่าหน้าตาเป็นอย่างไรตั้งอยู่บริเวณไหน เป็นต้น
แต่ทั้งหมดก็ถูกยกเลิกไป และมีเรื่องใหม่ๆเกิดขึ้นอีกตามวาระของคชก."
ขณะที่ นายธำรง
ปัญญาสกุลวงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทยกล่าวว่า
ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการคอนโดมิเนียมจำนวนมากอยากฟ้องคชก.
เพราะทำให้โครงการเสียหายล่าช้า เหมือนกับโรงงานอุตสาหกรรมมาบตาพุดกว่า 30 โรง
ที่ได้รับผลกระทบจากการพิจารณาที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งขณะนี้
สมาคมอยู่ระหว่างเจรจากับสผ.ที่จะให้การพิจารณาของคชก.อยู่ในกรอบข้อกฎหมายและออกหลักเกณฑ์ข้อบังคับที่ชัดเจนในทางปฏิบัติต่อไป
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น